เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๔ ก.ย. ๒๕๔๖

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๔ กันยายน ๒๕๔๖
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เวลาเราแสวงหาเราตั้งใจ ถ้าเราตั้งใจนะ เราแสวงหาของเรา เราก็มีความจงใจ ถ้าคนไม่แสวงหา เห็นไหม คนต่อหน้าเห็นต่อหน้าของคนนั้นไม่มีคุณค่าเลย ธรรมะเหมือนคว้าในอากาศนะ เราพยายามคว้ามือไปในอากาศให้มันเป็นประโยชน์กับเรา แล้วในอากาศมันจะมีอะไรล่ะ มันเป็นนามธรรม

สิ่งที่เป็นนามธรรม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางไว้ทาน ศีล ภาวนา ให้มีทานก่อน แล้วก็มีศีล แล้วมีภาวนา เวลามีศีล ปาณาติปาตา การไม่ฆ่าสัตว์ การไม่ลักทรัพย์ การไม่ล่วงละเมิดผิดลูกผิดเมียเขา มุสา แล้วก็สุรา การดื่มสุรา เห็นไหม ศีลนี่บังคับให้เราเป็นคนปกติ ถ้าเราดื่มสุราขึ้นไปนี่เราจะเมา ความเมาของคน คนขาดสติ คนนั้นไม่เป็นปกติ คนนั้นจะเมาไปตลอดจนกว่าเขาจะสร่างเมาของเขา แล้วเขาก็ดื่มอีกเขาก็เมาอยู่อย่างนั้น ชีวิตเขานี่เมาแล้วเมาเล่าอยู่อย่างนั้น

แต่เราเมาในชีวิตของเรา เราเมาในลาภของเรา เราเมาในกาลเวลาของเรา เราเมาหมดนะ เพราะเราเมา ศีลปกติเพราะดื่มสุราถึงได้เมา คนเมาอย่างนั้นเพราะเขาดื่มสุราเข้าไปเขาถึงเมา แต่เรื่องของกิเลสมันเมา เราก็ผัดวันประกันพรุ่งว่าเรายังมีชีวิตอยู่อีกยาวนาน เราจะสามารถทำประโยชน์ได้อีกมากมาย การเมาชีวิตคือหลงใหลไปในชีวิตของเรา เมาในลาภเมาในสมบัติของเรา เราก็หลงใหลไปกับมัน สิ่งที่หลงใหลไปกับมันสิ่งนั้นเป็นปัจจัยเครื่องอยู่อาศัย

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่าให้ใคร่ครวญด้วยปัญญา สิ่งที่ด้วยปัญญาเกิดจากอะไร เกิดจากการภาวนา มีศีล ถ้ารักษาศีลเราจะเป็นคนปกติ แต่ก็รักษากันได้ยาก อย่างการมุสา ในร้อยคนพันคนจะมีคนกล้าสักหนึ่งคน ในคนล้านคนแสนคนจะมีคนจริงอยู่สักหนึ่งคน คนจริง เห็นไหม พูดจริงทำจริงมีสักกี่คน ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติจนถึงที่สุดมันมีกี่คน สิ่งนี้มันหายากๆ เพราะอะไร เพราะเรื่องของใจ ถ้าใจจริงจังคนเรามีสัจจะมีความจริงกับตัวเอง คนๆ นั้นจะเป็นประโยชน์กับตัวเอง เป็นประโยชน์กับตัวเองนะ เพราะเราตั้งสัจจะ เรามีขอบมีเขต เราจะมีขอบมีเขตเราจะทำคุณงามความดีของเรา เราตั้งใจของเราแล้วเราจะทำของเราได้

ถ้าเราตั้งสัจจะ เวลาพระภาวนาขึ้นมานี่นั่งตลอดรุ่ง ตั้งใจว่า ๖ โมงเย็นนั่ง ถ้าพระอาทิตย์ไม่ขึ้นไม่ลุก แล้วตั้งสัจจะไว้ก็อยู่ในกุฏิอยู่ในที่ลับตาของคน จะซื่อสัตย์ไม่ซื่อสัตย์กับตัวเองมันก็เป็น นี่คนจริง คนจริงคนกล้าสักหนึ่งคนในร้อยคนพันคนแสนคน ผู้ที่ปฏิบัติจริงจะมีสักกี่คน แล้วผู้ที่ไม่โกหก โกหกคนอื่นยังเป็นส่วนหนึ่ง ตั้งสัจจะแล้วก็โกหกตัวเอง นี่ศีล มีศีลแล้วมีปัญญา

ถ้ามีปัญญาขึ้นมานี่ภาวนา สิ่งที่เป็นภาวนาจะทำให้เราไม่เมาในชีวิต เราใคร่ครวญในชีวิตปัญญามันจะใคร่ครวญไป คนเราเกิดแก่เจ็บตายทุกคนก็เห็นเกิดแก่เจ็บตาย แต่มันชินชา ความชินชานี่เป็นเรื่องของเขา แต่ถ้าญาติพี่น้องของเราเกิดแก่เจ็บตายเราจะมีความดีใจเราจะมีความเสียใจเพราะมันใกล้ตัวเข้ามาแล้ว

แต่ถ้ามันเป็นความเกิด ความแก่ ความเจ็บของเราล่ะ สิ่งนี้เป็นธรรมๆ อันนี้เป็นความประเสริฐมากๆ แล้วคนมันจะไม่เห็น เวลาเราสลด เวลาภาวนานึกถึงความตายๆ บางคนพูดมากว่านึกถึงความตายแล้วมันสลด มันแบบว่ามันขยะแขยงมันไม่ยอมทำงานมันไม่เข้าใจสิ่งนั้นเลย นั่นนะเวลามันเป็นไปมันไม่เป็นไป มรณานุสติ คนเราคิดถึงความตายตลอดเวลา เราจะไม่เหิมเกริมไปกับโลกเขา เราจะใช้ดำรงชีวิตของเราอยู่

ในสมัยพุทธกาลมีกษัตริย์ศรัทธาพระพุทธเจ้ามาก ทำบุญมาก แล้วน้องชายเห็นว่าพี่ชายทำบุญไปมันเสียเปล่าๆ แล้วเขาเป็นน้องชายกษัตริย์เขาเที่ยวไปในป่าไปเจอกับฤๅษี ไปถามฤๅษีความอยู่ในป่ามีความคิดอย่างไร ฤๅษีบอกว่าอยู่ในป่านี่นะมีแต่ความตั้งใจวันเดียว สุดท้ายมีแต่ความทุกข์ใจ เพราะฤๅษีเขาเป็นฤๅษีเขาถือแต่ศีล พอน้องชายได้ยินอย่างนั้น คิดว่าพระก็ต้องเป็นแบบนั้น ถึงมาบอกกับพี่ชายว่าพระนี่นะอยู่ด้วยความทุกข์ความเศร้าหมองในใจ

พี่ชายจะสอนน้องชาย บอกว่าอย่างนั้นจะให้น้องชายเป็นกษัตริย์ทำว่าเป็นโกรธขึ้นมา จะประหารชีวิตแต่ให้เป็นกษัตริย์อยู่ ๗ วัน ให้ขึ้นเป็นกษัตริย์อยู่ ๗ วัน แล้วถ้าหมด ๗ วันแล้วจะประหารชีวิต แล้วก็สถาปนาขึ้นเป็นกษัตริย์เลย ภายใน ๗ วันนั้นคิดแต่ว่าจะโดนฆ่าๆ ไม่มีความสุขเลยนะ ไม่มีความสุขมีแต่ความทุกข์ยากในหัวใจทั้งๆ ที่เป็นกษัตริย์นะ พอครบ ๗ วันพี่ชายก็ต้องฆ่าแล้ว เพราะพี่ชายเป็นกษัตริย์นี่เป็นน้อง อยู่ในพระไตรปิฎก

สุดท้ายแล้วพอถึงครบ ๗ วันพี่ชายถามว่า เรามีความสุขไหม บอกไม่มีความสุขเลย เพราะกลัวตายมาก พี่ชายบอก นี้ก็เหมือนกัน พระที่เขาประพฤติปฏิบัติอยู่นี่ เขาเห็นการเกิด การแก่ การเจ็บ การตาย เขาใคร่ครวญสิ่งนี้อยู่เขาจะต้องมีปัญญาอยู่ขึ้นมา อันนี้สอนให้น้องชายให้มาศรัทธาในศาสนา ศรัทธาในความเป็นจริง

ศาสนธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา ทรมานอยู่ ๖ ปีนะ ค้นคว้าอยู่ ๖ ปี ไม่เคยบอกเลยว่าตัวเองนี่สำเร็จ ทุกข์ยากมาก เพราะว่าสิ่งใดที่เข้าใจว่าเป็นธรรมแสวงหาอย่างนั้นตลอดมา จนว่ามันไม่ใช่ ถึงย้อนกลับเข้ามา พอย้อนกลับขึ้นมา ธรรมมัชฌิมาปฏิปทา เริ่มฉันอาหารของนางสุชาดา ปัญจวัคคีย์ทิ้งหมดเลย ทิ้งออกไป ทิ้งว่าเป็นคนมักมาก ทรมานตนขนาดไหนก็ยังไม่สำเร็จแล้วมามักมากมันจะสำเร็จได้อย่างไร ทิ้งไป

แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาคนทิ้งไปมันอยู่ในความสงัด แล้วอดอาหารมามันมีพลังงานออกมา อดอาหารเป็นกลอุบาย แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอดเพราะด้วยคิดว่ามันมีคุณประโยชน์ ถึงบอกไม่ให้อด ถ้าอดโดยกำปั้นทุบดิน อดโดยว่าการอดอาหารเป็นคุณงามความดี ไม่ใช่ แต่ใน ๔๕ วันนั้นอดขึ้นมา เพราะมันได้พลังงานนั้นขึ้นมา นั่นนะมันเป็นพลังงานขึ้นมาเฉยๆ พลังงานนี้ย้อนกลับ พอย้อนกลับมาใช้ปัญญา ตัวนั้นมันเป็นตัวเสริม เสริมขึ้นมาจนชำระกิเลส พอกิเลสขาดขึ้นไป กลับไปหาปัญจวัคคีย์ ปัญจวัคคีย์ไม่ยอมรับไม่ยอมสนใจเลย เพราะคิดว่าคนเรากลับมาหาผลประโยชน์ มันจะได้ผลได้อย่างไร องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกเลยนะเพราะเป็นคนสัจจะ เป็นคนพูดจริงทำจริงทุกอย่าง เราเป็นพระอรหันต์แล้ว เราสิ้นจากกิเลสแล้ว จงฟังธรรม ไม่ฟังนะ เธอเคยได้ยินได้ฟังเราพูดอย่างนี้ไหม จนปัญจวัคคีย์ย้อนกลับมาฟัง พอฟังเทศน์สอนเทศน์ธัมมจักฯ จนอัญญาโกณฑัญญะรู้ธรรมขึ้นมา

นี่ธรรม สภาวธรรม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา แล้วพระสาวกต่างๆ ก็บรรลุธรรมขึ้นมา ธรรมถึงเป็นสภาวธรรมอยู่ในอากาศ อยู่ในนามธรรม เราจะเก่งเราจะจับต้องเราจะค้นคว้าอย่างไร ค้นคว้าเข้ามาในหัวใจ สิ่งที่ค้นคว้าเข้ามาในหัวใจเกิดจากการภาวนา ทาน ศีล ภาวนา

ในการเมาสุราเขาต้องดื่มสุราเขาถึงเมาสุรา แต่ของเรานี่เราไม่ได้ดื่ม เราเกิดมานี่เราก็ไม่ได้ดื่ม เราก็ไม่รู้จักตัวเราเอง แต่อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา อยู่ในหัวใจของเรานี่มันทำให้เราเมา เราเมาคือเราไม่รู้จักตัวเอง เราไม่เข้าใจตัวเอง เราย้อนออกไปข้างนอกเลย ย้อนออกไปว่าสิ่งต่างๆ จะหวังพึ่งๆๆ มีลาภมีสักการะ มีแก้วแหวนเงินทองจะหวังพึ่งสิ่งนั้นๆ เวลาเจ็บไข้ได้ป่วยพึ่งได้ไหม เวลาเราเจ็บไข้ได้ป่วย เวลาเราเป็นอะไรไปเราพึ่งได้ไหม เราพึ่งสิ่งนั้นไม่ได้เลยเราต้องพึ่งหมอ จะพึ่งได้ก็เป็นแค่ปัจจัยเป็นแค่จ้างวานกัน สิ่งที่จ้างวานกันเวลาตายจ้างวานกันไม่ได้นะ สมบัตินี่จ้างวานกันไม่ได้ มันต้องหาขึ้นมาเอง

การชำระกิเลสต้องรื้อค้นขึ้นมาเอง การรื้อค้นขึ้นมาเองนี่สภาวธรรม ถ้าเรามีความสนใจ เราเริ่มทำทาน เวลาเรามาทำทานเรามีศีลไปในหัวใจด้วย แล้วได้ฟังธรรม นี่การฟังธรรมกับการภาวนาใคร่ครวญไป ใคร่ครวญไม่ให้เราเมาในชีวิต สิ่งที่มึนเมาสิ่งที่ชีวิตนี่ทุกคนต้องพลัดพรากจากกันเป็นที่สุด ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด ทุกคนต้องพลัดพรากจากกันไม่วันใดก็วันหนึ่ง แล้วเรามัวเมาอยู่นะ เรามัวเมานะ เราฆ่าเวลานะ เราฆ่าเวลาไปวันหนึ่งๆ เราฆ่าเวลาไม่เป็นประโยชน์ไปแต่ทุกวันๆ นี่มัวเมาชีวิตไหม มัวเมาในลาภ มัวเมาในยศ มัวเมาในศักดิ์ศรี มัวเมาไปทั้งหมดเลย นี่คนเมา

ถ้าคนเมาจะเวียนตายเวียนเกิด อวิชชามันยิ้มแย้มแจ่มใส เพราะมันไม่มีใครเคยเข้าไปค้นคว้าหามัน มันหลบซ่อนกินอยู่ในหัวใจ แล้วมันจะมีความสุขอยู่ในหัวใจ จะปกครองสัตว์โลกอยู่ในหัวใจของสัตว์โลก ถ้าเราใช้ปัญญา เราใคร่ครวญเข้าไป อวิชชาเจ้าพญามารเขาจะเดือดร้อน สิ่งที่เขาจะเดือดร้อนเพราะอะไร เพราะมีสภาวธรรม สภาวธรรมคือตบธรรม คือไฟจะเข้าไปแผดเผา แผดเผาความนอนใจนั่นนะ สิ่งที่นอนใจสิ่งที่มัวเมามันอยู่นั่นมันจะเข้าไปแผดเผา สิ่งที่แผดเผาเขาจะต่อต้าน

การภาวนาของเรา การใคร่ครวญของเรา มันจะไม่สำเร็จประโยชน์ก็เพราะว่ากิเลสมันบิดเบือน มันสร้างภาพเหมือน มันทำสิ่งต่างๆ ให้เราหลงทางไป สิ่งที่หลงทางไป การประพฤติปฏิบัติเราจะหลงทางไป เพราะอวิชชามันอยู่ข้างในหัวใจ เราต้องใคร่ครวญเข้าไปถึงต้องทำความสงบของใจ สิ่งที่เราใคร่ครวญเข้ามามันพอใจ สิ่งที่พอใจมันจะปล่อยวางๆ ชั่วคราว เป็นปัญญาอบรมสมาธิ สิ่งที่เป็นปัญญาอบรมสมาธิเป็นพื้นฐาน สิ่งที่เป็นพื้นฐานมันถึงเกิดโลกุตตรธรรม

โลกุตตรธรรมคือปัญญาที่จะชำระกิเลส ชำระกิเลสมันก็จะไม่เมา มันไม่เมาตั้งแต่เราใช้มรณานุสติ เรากำหนดความตายๆ เรากำหนดความตายตลอด เราอยู่เพื่อจะตายเท่านั้น เราแสวงหามาเพื่อจะตายเท่านั้น ตายอย่างเดียว คนเราต้องตายทั้งนั้น พอตายอย่างเดียวมันก็ไม่ฟุ้งซ่านไปกับเขา มันใช้แต่ความจำเป็น สิ่งที่เราจำเป็นอยู่ สิ่งใดที่เป็นประโยชน์อยู่ เราสร้างสิ่งนั้นให้เป็นประโยชน์ ทรัพย์สมบัติถ้ามันเป็นประโยชน์ได้มันจะเป็นประโยชน์กับเราถ้าเราเป็นประโยชน์

ถ้าไม่เป็นประโยชน์กับเรา คนมัวเมามันใช้สิ่งที่มัวเมา ใช้จนสุรุ่ยสุร่าย จนหัวใจรั่วหมดเลยนะ เก็บสิ่งใดไม่อยู่ ทุกคนบอกเลยว่าไม่พอใช้ แต่ไม่เคยคิดว่าเราจะเก็บหอมรอมริบอย่างไร หัวใจมันรั่วอย่างนั้นถ้าใช้ไม่เป็นประโยชน์ แต่ถ้าหัวใจมันดีมันเก็บสะสมไว้ใช้เป็นประโยชน์เท่านั้น สิ่งที่เป็นประโยชน์กับใจนั้นเราถึงอาศัยเขา เพราะเรามีมรณานุสตินั่นนะ

เริ่มจากตบธรรมๆ มันจะเผาเข้ามา ถ้าเกิดมีปัญญา เกิดถ้าเป็นสัมมาสมาธิขึ้นมา โสดาปัตติมรรค สิ่งที่เป็นโสดาปัตติมรรคต้องเกิดมรรคอริยสัจจัง โสดาปัตติมรรคเกิดจากงานชอบ สิ่งที่งานชอบคืองานรื้อค้นในสติปัฏฐาน ๔ ในกาย ในเวทนา ในจิต ในธรรม ในการเห็นกายๆ จากภายใน ภายในค้นคว้าจากภายในจะชำระสิ่งนี้ออกไป ถ้ากายภายในเพราะเรายึดมั่นถือมั่น เราเกาะเกี่ยวอยู่กับใจ ใจเกาะเกี่ยวอยู่กับตัวมันเอง ใจเกาะเกี่ยวกับใจหนึ่งเกิดเป็นภวาสวะ เกิดเป็นฐานความคิด ฐานความคิดนี้ คือเกาะเกี่ยวมาที่กาย

เรามีกายกับใจ เวลาเจ็บไข้ได้ป่วยคนเป็นอัมพฤกษ์ร่างกายเคลื่อนไหวไม่ได้ แต่หัวใจมันก็อยู่ ตาแป๋วอยู่อย่างนั้นนะ รับรู้อยู่อย่างนั้น แต่สื่อความหมายไม่ได้ เพราะใจมันติด เวลาใจมันติดมันก็ติดสภาวะของมัน จิตมันจะค้นคว้าเข้าไป ภาวนามยปัญญาเกิดขึ้นมาแล้วค้นคว้าเข้าไป สิ่งนี้มันจะเริ่มชำระล้างกัน ปัญญาเกิดจากสมาธิ ปัญญาไม่ใช่เกิดจากความรู้สึกของเรา ปัญญาเกิดจากความรู้สึกของเรา เราใคร่ครวญเข้ามาเป็นปัญญาอบรมสมาธิ มันเป็นพื้นฐานเราใช้มันเข้ามาก่อน การใคร่ครวญไปเพื่อจะไม่ให้เรามึนเมา ถ้าเรามึนเมาเราก็เสียเวลา เรามึนเมานะเสียเวลาไปตลอดไป เมาไปตลอดชีวิตไป สติอยู่ที่ไหน ไม่เคยคิดกลับมาได้เลย

แต่ถ้ามีภาวนามยปัญญาขึ้นมา มันเห็นความเป็นจริง มันสลดสังเวชมาก เวลาเห็นกายนะ กายพุพอง กายเน่าเปื่อย เห็นสภาวะแบบจากภายใน ไม่ใช่เห็นจากข้างนอกนี้หรอก เห็นจากข้างนอกมันสลดสังเวช แต่เห็นจากภายในมันแบบว่าไม่มีที่พึ่ง ทำไมเราโง่กับตัวเอง เราโง่นะ เพราะเราโง่กับตัวเองเราถึงยึดมั่นถือมั่นภายนอก พอเราปลดปล่อยเข้ามาจากภายใน มันเห็นจากตาในมันจะปล่อยๆ จนถึงที่สุดมันจะขาดออกไป สติพร้อมไม่มีความเมาในชีวิต สิ่งที่เป็นชีวิตนี้อาศัยกันไป

เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เรามีร่างกายและมีจิตใจ เราสร้างสมคุณงามความดีไป ไม่เมากับชีวิตนี้นะ ชีวิตนี้สำคัญที่สุด หัวใจนี้สำคัญที่สุดเลย มันเป็นภาชนะที่จะไปรับกับธรรม สิ่งที่ทำคือความรู้สึก ทุกข์ก็คือใจทุกข์ สุขก็คือใจสุข แล้วถ้ามันพ้นทุกข์ก็ใจนั้นพ้นทุกข์ อาสเวหิ อาสวะสิ้นไป จิตฺตานิ วิมุจฺจิงสูติ จิตนี้จะพ้นไปแล้วมีอยู่โดยสมบูรณ์อยู่ในใจดวงนั้น สมบูรณ์มากพร้อมกับความสุขอันละเอียด สุขที่ว่าไม่ใช่ขันธ์ สุขที่เป็นขันธ์เห็นไหม สุขในขันธ์นี่สุขในสมมุติ สุขอันนี้มันคู่กับทุกข์ อันนั้นมันเป็นวิมุติสุข มันจะพอใจ มันจะอิ่มเต็มของมันอย่างนั้น ไม่มีสิ่งใดจะไปเพิ่มค่าและลดค่าอันนั้นได้เลย

นั้นคือสภาวธรรมตามความเป็นจริงที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ ที่สาวกต่างๆ เข้าถึง แล้วเราจะเข้าถึง ถึงตรงนั้นแล้วมันเป็นอัตโนมัติ ความเป็นอัตโนมัติ ถ้าอะไรกระเทือนถึงมัน มันสติพร้อมหมด สิ่งใดๆ จะเข้าไปกระเทือนสิ่งนั้นไม่ได้เลย มันเป็นอัตโนมัติรับรู้สิ่งต่างๆ แล้ววางไว้ตามความเป็นจริงทั้งหมด มันถึงสิ่งต่างๆ เข้าไม่ได้ มันถึงไม่เมาไง มันจะอิ่มเต็มตลอด ไม่มีเมา พร้อมหมด อัตโนมัติหมด สติพร้อม เวลาขยับปั๊บสติตามมาๆ พร้อมกันหมด ไม่มีเหยื่อสิ่งใดๆ ไปล่ออันนั้นได้ นั้นเป็นสิ่งที่สุด คือที่ไม่เมาในชีวิต เอวัง